วันที่ 24-10-2017 • บทความ • admin • ไม่มีความคิดเห็น »
ผู้เขียน : Ruth Lawrence, UK
ผู้แปล – เรียบเรียง : ทิพย์สุพร ชาน
7 วันหลังจากที่ฉันเกิดมาในโลก พ่อของฉันก็ได้เป็นศิษยาภิบาลในคริสตจักร ฉันเติบโตขึ้นด้วยความแตกต่างจากพี่น้องของฉัน ฉันไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าตอนที่พ่อของฉันไม่ได้เป็นศิษยาภิบาลนั้นเป็นอย่างไร ฉันเรียนรู้อย่างรวดเร็วว่าหลายคนคาดหวังให้ลูกของศิษยาภิบาลมีมาตรฐานที่สูงกว่าคนปกติหรือรอเวลาที่พวกเขาจะจับผิดและต่อต้านเมื่อเราล้มลง
ฉันไม่ชอบสิ่งนี้เลย
ถ้าฉันสามารถเลี่ยงที่จะบอกคนอื่นว่าพ่อของฉันทำงานอะไร ฉันจะทำ ฉันไม่อยากตกอยู่ในคำวิพากษ์วิจารณ์ของคนอื่น
ทั้งหมดที่ฉันต้องการคืออยากจะค้นหาคำตอบว่า ในความคิดฉันเองพระเจ้าและคริสตจักรเป็นใครโดยไม่ต้องมีคนคอยดู ตอนนั้นฉันอายุ 20 ฉันถึงบทสรุปบางสิ่ง
ฉันรู้ว่าพระคัมภีร์เป็นความจริง ฉันไม่มีปัญหาอะไรกับพระเจ้า แต่ฉันไม่ชอบคริสเตียนบางคน ซึ่งเป็นปัญหาหนึ่งที่ฉันพบในตัวเอง
ฉันเข้าใจได้นะเวลาที่คนไม่ได้เป็นคริสเตียนสามารถที่จะทำให้คนอื่นเจ็บปวดได้เพราะพวกเค้าไม่รู้จักพระเจ้า แต่ฉันหัวเสียกับคนที่เป็นคริสเตียน แล้วถ้าคนที่เป็นคริสเตียนจงใจจะทำให้คนที่เป็นคริสเตียนคนอื่นเจ็บล่ะ?
ช่วงหนึ่งในตอนเด็กในคริสตจักรเมื่อฉันเป็นคนเดียวที่ไม่ต้องอยู่ในการที่คนอื่นจะบอกให้ทำอะไรในกลุ่มของเรา เมื่อฉันโตขึ้นฉันได้ยินคนอื่นนินทาเกี่ยวกับครอบครัวของเรา
น้ำเสียงของพวกเขาที่ห่วงใยและหน้าตาที่เต็มไปด้วยสงสัยและสีหน้าที่อยากจะค้นดูว่าจะได้อะไรจากฉัน โลกของฉันแคบลงเพียงฉันกับพระเจ้า ฉันทิ้งผู้คนไว้ไกลๆและไม่ให้เข้ามาใกล้ ฉันเก็บซ่อนสิ่งที่สำคัญกับฉันมากอย่างดีที่สุด
เมื่อความเจ็บปวดเช่นนี้ทำให้พ่อฉันต้องจากออกคริสตจักรที่เราเคยอยู่ ฉันตัดสินใจว่าพอแล้วกับคริสเตียน พระเจ้าอาจจะรักฉันแต่คนของพระองค์คงไม่ใช่แน่นอน
เมื่อฉันค้นพบเรื่องอื่นที่เกิดขึ้นในคริสตจักรตลอดเวลา สิ่งที่ไม่ควรจะเกิดและสิ่งนั้นทำให้ครอบครัวของเรา เจ็บความเจ็บนั้นถูกเปลี่ยนมาเป็นความโกรธ
ยิ่งฉันโกรธมากเท่าไหร่ยิ่งรู้สึกเข้าถึงพระเจ้าได้น้อยลงและความสัมพันธ์ของผมกับพระเจ้ายิ่งเสื่อมถอยลง ฉันรู้สึกติดอยู่ในคุกฉันไม่ต้องการที่จะเดินออกจากพระเจ้าเพราะว่าฉันรักพระองค์และเพราะว่าฉันรู้ว่าพระคัมภีร์เป็นความจริงแต่ฉันไม่ต้องการที่จะคบค้าสมาคมกับคริสตจักรของพระองค์ซึ่งเป็นที่ที่เคยเจ็บปวดกลายมาเป็นความเจ็บปวดที่ฉันรู้ซึ้งว่าฉันต้องจัดการกับทัศนคติ ความคิดและความรู้สึก
ในพระธรรมฮีบรู 10:25 และยอห์น15 ย้ำเตือนกับฉันว่า พวกเขาบอกว่าคริสตจักรเป็นแผนการของพระเจ้า พระเยซูบอกผู้ติดตามพระองค์ให้ยึดถือในความรักของพระองค์(ยอห์น15:9)
ฟังดูดีจนกระทั้งพระองค์อธิบายว่าการยึดมั่นในความรักพระองค์หมายถึงเราต้องเชื่อฟังในพระบัญญัติของพระองค์ให้รักคนคริสเตียนคนอื่น(15:12)ในส่วนนั้นฉันไม่ค่อยจะตื่นเต้นด้วยเท่าไหร่เพราะว่ามันหมายถึงการเปิดตัวเองให้เจ็บอีกครั้ง
ฉันยังคงใช้เวลาอย่างมากในการจัดการกับสิ่งนี้
ไม่ใช่สิ่งที่ฉันอยากจะอยากพูดถึงในครอบครัวสักเท่าไหร่และก็มีสองสิ่งที่ฉันค้นพบในความคิดที่ด่างพร้อยของผม
1. คริสเตียนทำร้ายความรู้สึกกันและกัน
อาจจะเห็นได้ชัดเจนแต่ไม่มีใครสมบูรณ์แบบคริสเตียนหรือคนอื่นๆ เราจะทำร้ายความร้สึกซึ่งกันและกัน ฉันทำร้ายความรู้สึกคนอื่น ฉันสามารถรู้สึกเป็นฝ่ายรับและเจ็บกับบาดแผลอย่างที่ฉันต้องการแต่สุดท้ายฉันทำร้ายคนอื่นเช่นกัน ฉันต้องการรับการให้อภัยมากพอๆกับการให้อภัย ในพระธรรมมัทธิวบทที่18 พระเยซูทรงตอบคำถามของเปโตร เรื่องที่เราควรจะให้อภัยคนอื่นได้มากเท่าไหร่ โดยเล่าคำอุปมาเรื่องทาสที่ไม่มีความเมตตา เรื่องเป็นมาอย่างนี้ว่ามีทาสคนหนึ่งที่เป็นหนี้กษัตริย์เป็นจำนวนมากและไม่สามารถจ่ายคืนให้ได้ กษัตริย์ต้องการจะเอาทาสผู้นี้เข้าคุกแต่ทาสนี้ได้รับความเมตตา กษัตริย์นั้นซึ่งกระทำสิ่งที่มีพระคุณอย่างอัศจรรย์ได้ยกเลิกหนี้ทั้งหมดที่ทาสมี ทาสที่ได้รับการปลดหนี้ตอนนี้เขาไปทวงหนี้อีกคนที่เป็นหนี้เขาในจำนวนเล็กน้อยและสั่งให้อีกคนต้องคืนเงินอย่างนั้นอย่างนี้แต่ชายผู้นั้นไม่สามารถคืนเงินได้แล้วทาสผู้นี้ได้ส่งชายผู้นั้นเข้าคุก ไม่สนใจการร้องขอความเมตตาจากเขา เรื่องนี้รู้ไปถึงกษัตริย์ผู้ที่กราดเกรี้ยว และไม่มีความเที่ยงธรรมและโยนทาสผู้ไร้ความเมตตานี้เข้าไปในคุก
เรื่องราวนี้หลอกหลอนฉันตั้งแต่ยังเด็กเพราะว่าฉันต้องการพระคุณให้กับตัวเองแต่ฉันมีเวลาที่ยากลำบากที่จะเอาออกไป
ฉันเคยคิดว่าสิ่งที่ผ่านมากลายเป็นบทสรุปถ้าฉันเจอคนที่ทำให้ฉันและครอบครัวเจ็บในตอนนั้นฉันต้องการให้พวกเขารู้ว่าฉันไม่ต้องการถือเอาสิ่งนี้ซ้ำกลับไปหาพวกเขา
ไม่แน่ใจถ้าฉันจะได้เจอพวกเขาอีกครั้งอีกครั้ง ชีวิตได้นำพาฉันออกมาไกลจากพวกเขาแต่ไม่ได้หมายความว่าฉันสามารถให้อภัยพวกเขา ให้อภัยพวกเขาหมายถึงไม่ต้องการสิ่งที่เลวร้ายเกิดขึ้นกับพวกเขาแต่อธิษฐานแต่สิ่งที่ดีให้และความสัมพันธ์ที่ฉันมีให้คนคริสเตียนในตอนนี้หมายถึงการที่รีบจะขอโทษเมื่อทำบางสิ่งผิด
2. ไม่มีมาตรฐานที่สูงอีกต่อไป
คนอื่นๆอาจจะเคยยกฉันให้มีมาตรฐานที่สูงและควรประพฤติตัวดีเพราะพ่อฉันเป็นใครแต่พระเจ้าไม่ใช่อย่างนั้น พระเจ้ามองเราในมาตรฐานที่สูงเท่ากันที่เราไม่สามารถเข้าใจได้และไม่มีใครที่จะเข้าใจมาตรฐานนั้น เราทุกคนได้รับพระคุณเพราะสิ่งที่พระเยซูทำเพื่อเรา
เลือดของพระเยซูจ่ายทุกครั้งที่เกิดความวุ่นวายและการทำร้ายความรู้สึกกัน
ทุกครั้งที่เราไม่เห็นมาตณฐานนั้นแต่พระคุณที่เรามีทำให้พระเจ้าเห็นว่าเป็นสิ่งที่ถูกต้องกับพระเจ้าอีกทุกครั้งดังนั้นทุกครั้งที่ฉันรู้สึกว่ามาตรฐานนั้นสูงขึ้นและยังเกิดขึ้นอยู่บางครั้ง ฉันสามารถวางความคิดของฉันพักโดยระลึกถึงตัวเองว่าพระเยซูจ่ายค่าความบาปของฉันแล้ว ฉันไม่จำเป็นต้องพยายามจะจ่ายเพื่อจะได้กลับมา รู้สึกสบายใจที่รู้ว่าพระเจ้าไม่ได้รอคอยที่จับตามองดูแต่รอคอยด้วยพระคุณและการให้อภัย
3. เราสามารถเลือกว่าตอบสนองอย่างไร
ฉันอาจจะไม่ชอบมันแต่การอยู่บนโลกนี้หมายถึงเราจะต้องเจอบางจุดที่จะทำให้เราเจ็บ เราจะทำอะไรกับความเจ็บและเป็นสิ่งที่ควรนับไหม มากกว่าฝังความรู้สึกและยึดติดกับความขุ่นเคือง ฉันพยายามที่จะจำคำที่เปาโลบอกเราในเอเฟซัส 4:32 ฉันได้เห็นพระคุณทุกครั้งที่ฉันล้มลง
เพราะว่าพระคุณได้สำแดงให้ฉันเห็น ฉันเริ่มค่อยๆเปลี่ยนแปลงวิธีการตอบสนองต่อคนที่ทำร้ายความรู้สึกฉัน ฉันกำลังฝึกที่จะไม่รีบตัดสินแต่รีบที่จะให้อภัย
มันยากเพราะว่ามันไม่ใช่ธรรมชาติของฉันและบางทีอาจจะไม่คุณเช่นกันมันรู้สึกล้าหลังไปหน่อยแต่พระเจ้าแสดงการให้อภัยและเมตตาต่อฉันและฉันพยายามที่จะทำเช่นเดียวกัน
อย่างที่บอกฉันยังอยู่ในการฝึกนี้และส่วนใหญ่ฉันไม่ได้ตอบสนองในทางที่ฉันรู้ว่าควรแต่ฉันเรียนที่จะเอากลับไปให้พระเจ้าและให้พระองค์ทำงานในหัวใจของฉัน
ฉันอยู่ไกลจากคริสตจักรที่ฉันเติบโตและถ้าฉันทำได้ฉันยังคงอยากจะเก็บเรื่องงานของพ่อเป็นความลับ ฉันยังกลัวความเจ็บแต่ฉันพยายามที่จะเอาความกลัวออกไปแต่ส่วนใหญ่ล้มเหลวแต่ฉันไม่หมดหวังและไม่อยากเป็นแบบนั้น
คริสตจักรเต็มไปด้วยคนที่ป่วยที่จะทำร้ายกันและกันแต่พวกเขาก็เป็นคนของพระเจ้าที่รักและให้อภัยโดยพระองค์
คริสตจักรคือครอบครัวพระเจ้าที่ต้อนรับคุณให้มาเป็นส่วนหนึ่ง
เป็นที่ที่จะทำให้เราเติบโตในการเดินไปกับพระเยซูเพราะว่าการต่อสู้กับความบาปพร้อมคนอื่นง่ายกว่าการพยายามทำด้วยตัวเองคนเดียว มันอาจจะไม่ใช่ที่ๆสมบูรณ์แต่เป็นที่ๆมีคุณค่าที่จะอยู่
ไม่ว่าจะแย่แค่ไหนหรือจะเจ็บปวดเท่าไหร่ ฉันจะไม่ท้อกับพี่น้องในคริสตจักรของฉัน!
Tags: Ruth Lawrence, การดำเนินชีวิตคริสเตียน, ความรักของพระเจ้า, ความรักต่อผู้อื่น, ความรักของพระเจ้า, ความรักต่อผู้อื่น, ความเจ็บปวด
บทความที่เกี่ยวข้อง
-
พระเจ้าอยู่ในรายละเอียด
ตอนที่ “ช็อคโกแลต” ลูกสุนัขพันธุ์ลาบราดอร์ รีทรีฟเวอร์ของผมอ
อ่านต่อ » -
ส่งต่อมรดก
หลายปีก่อน ผมและลูกๆ ใช้เวลาหนึ่งสัปดาห์ในฟาร์มปศุสัตว์ร้างท
อ่านต่อ » -
ส่งต่อมรดก
หลายปีก่อน ผมและลูกๆ ใช้เวลาหนึ่งสัปดาห์ในฟาร์มปศุสัตว์ร้างท
อ่านต่อ » -
ความชูใจที่ได้แบ่งปัน
"พระเจ้าส่งคุณมาหาฉันคืนนี้”
อ่านต่อ » -
ความชูใจที่ได้แบ่งปัน
"พระเจ้าส่งคุณมาหาฉันคืนนี้”
อ่านต่อ » -
เป้าหมายของการมีชีวิต
เมื่อไม่นานมานี้ ฉันได้อ่านหนังสือด้านการเงินและสังเกตเห็นแน
อ่านต่อ »